การทำธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันนั้นสามารถทำได้ง่ายมาก ๆ เพราะในตอนนี้ Social Media หลาย ๆ แพลตฟอร์มต่างมีระบบซื้อขายให้ครบที่แอปเดียวได้ แต่รู้ไหมว่า มีลูกค้าส่วนใหญ่อีกหลายคน ที่ต้องการทราบรายละเอียดของสินค้าหรือบริการอย่างครบถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ แถมยังอยากได้ข้อมูลที่กระชับมาก ๆ
Sale Page จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำการตลาดออนไลน์ที่ได้ผล สำหรับการแนะนำหรือบอกเล่ารายละเอียดของสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ได้กระชับและจบในหน้าเดียว แต่ว่า Sale Page คืออะไรกันนะ มาลองดูกัน
Sale Page คืออะไร?
Sale Page คือหน้าเว็บไซต์ 1 หน้า ที่สร้างขึ้นเพื่อทำการตลาดออนไลน์หรือการขายสินค้าโดยเฉพาะ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นักการตลาดออนไลน์ ให้ความสนใจและทำกันมากขึ้นในปัจจุบันนี้ เพราะจะสามารถปิดการขายได้ครบ จบ บนเว็บไซต์เพียงหน้าเดียว เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการความว่องไว สะดวก รวดเร็ว โดยปกติแล้ว การทำ Sale Page จะต้องมีความสะดุดตา และจับลูกค้าได้อยู่หมัดตั้งแต่ Section แรก ยกตัวอย่าง ถ้าลูกค้าเปิดเข้า Sale Page มาและแบนเนอร์ด้านบนสุดเป็นรูปโปรโมชันที่กำลังลดราคาอยู่ ณ ตอนนั้น ก็จะสามารถทำให้ลูกค้าเลื่อนดูต่อมาจนจบได้
ซึ่ง Sale Page นั้นเหมาะสำหรับธุรกิจออนไลน์ทุกประเภท ในหนึ่งหน้าเราจะสามารถใส่ข้อมูลที่ลูกค้าควรจะรับรู้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ชื่อสินค้า ประเภทของสินค้า รายละเอียดของสินค้า โปรโมชัน หรือแม้กระทั่ง รีวิวการใช้งานจากลูกค้าคนอื่น เพื่อเป็นการทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นด้วยเช่นกัน
Sale Page สำคัญอย่างไร?
Sale Page สามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าและแบรนด์ได้มากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่เวลาค้นหาสินค้าหรือบริการที่ต้องการ มักจะพิมพ์ค้นหาใน Google มากกว่าการพิมพ์ในช่องทาง Social Media ทั่วไป ดังนั้น หากกลุ่มเป้าหมายค้นหาแล้วเจอคุณ แถมยังได้ข้อมูลของสินค้าหรือบริการของคุณครบจบในหน้าเดียว ก็จะทำให้ลูกค้าสนใจที่จะซื้อสินค้าได้ทันที
Sale Page ต่างจาก Landing Page อย่างไร?
ก่อนอื่นเลย อยากให้มารู้ความหมายของ Sale Page และ Landing Page กันก่อน
Landing Page คืออะไร?
Landing Page คือหน้าเว็บเพจไซต์ที่มีผู้ใช้งานคลิกมาเจอเป็นหน้าแรกของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะมาจากช่องทางไหนก็ตาม ทั้ง Ads, Social Media หรือแม้กระทั่งการค้นหาบน Google โดย Landing Page จะนำเสนอเนื้อหา คอนเทนต์ต่าง ๆ โปรโมทสินค้าในช่วงเวลานั้น หรืออาจจะใช้สำหรับการทำ CRM เก็บข้อมูลลูกค้าจากฟอร์มที่แทรกไว้บนหน้า Landing Page ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่ง Landing Page ส่วนใหญ่ จะเน้นไปที่เนื้อหาซะมากกว่า
Landing Page แตกต่างจาก Sale Page ที่จะเน้นกระตุ้นยอดขาย เน้นรายละเอียดของสินค้าแบบชัด ๆ เพื่อทำการปิดการขายให้ได้ในหน้าเดียว บาง Sale Page อาจสร้างมาเพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ในนั้นเลย สรุปสั้น ๆ ก็คือทั้ง Sale Page และ Landing Page ก็เป็นหน้าเว็บไซต์ 1 หน้าเหมือนกัน แต่แตกต่างที่การใช้งาน และการนำเสนอสิ่งที่ต้องการจะซื้อให้คนที่คลิกมาเจอหน้านั้นนั่นเอง
เทคนิคปิดการขายด้วย Sale Page
เทคนิคที่ 1 – กระชับ เข้าใจง่าย มีความโดดเด่น
สิ่งที่ Sale Page จำเป็นต้องมีคือเนื้อหาที่กระชับ เข้าใจง่าย และมีความโดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการทำ Sale Page ที่เกี่ยวกับโปรโมชัน 11.11 อยากให้คนเข้ามาแล้วเข้าใจเลยว่า นี่คือ Sale Page ที่เกี่ยวกับโปรโมชัน เน้นตัวอักษรที่เป็น Key Message หลักให้โดดเด่น จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นนั่นเอง
เทคนิคที่ 2 – รูปภาพหรือวิดีโอคือสิ่งสำคัญ
สิ่งที่ช่วยทำให้ดึงดูดสายตาของผู้ที่คลิกเข้ามาเจอ Sale Page หลัก ๆ เลยจะอยู่ที่รูปภาพ รูปภาพช่วยให้เข้าใจและกระตุ้นความอยากรู้ได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดคุณเข้ามาในหน้า Sale Page แล้วเจอแต่ Text เรียงกันเป็นพารากราฟ ความรู้สึกอยากอ่านจะลดลง แต่ถ้าคุณย่อยพารากราฟนั้นให้ออกมาเป็นรูปภาพและแปะเข้าไปใน Sale Page จะยิ่งดึงดูดสายตาให้ผู้ที่คลิกเข้ามาชมอ่านรายละเอียดของสินค้าคุณมากขึ้น หรืออีกอย่างคือการย่อยรายละเอียดของสินค้าให้ออกมาในรูปแบบวิดีโอที่สนุกเข้าใจง่าย และอาจกลายเป็นภาพจำของแบรนด์คุณ จากวิดีโอบน Sale Page ได้เลย
เทคนิคที่ 3 – รีวิวจากลูกค้าสำคัญมาก
หลาย ๆ สินค้าหรือบริการ จำเป็นต้องมีรีวิวเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์มากขึ้น เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะตัดสินใจซื้อสินค้าก็มาจากรีวิวกันทั้งนั้น ถ้ามีรีวิวจำนวนมาก โดยเฉพาะรีวิวที่ไปในทางบวก จะยิ่งส่งเสริมให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
เทคนิคที่ 4 – อย่าลืมแทรกโปรโมชัน
Sale Page บางเพจ อาจมีการทำออกมาเพื่อโปรโมชันโดยเฉพาะ แต่บาง Sale Page ต้องการออกมากระตุ้นยอดขาย ถ้าเกิดว่าเราต้องการกระตุ้นยอดขายและในเดือนนั้น ๆ สินค้าตัวนั้นมีโปรโมชันอยู่พอดี คุณอาจแทรกโปรโมชันดี ๆ เข้าไปใน Sale Page เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ไวขึ้น หรืออีกอย่างหนึ่งคือ อาจจะทำโปรโมชันที่เกี่ยวกับการคลิกเข้ามาดูหน้า Sale Page ก็ได้เช่นกัน
เทคนิคที่ 5 – เพิ่มช่องทางการติดต่อเข้าไปด้วย
อย่าลืมว่าเมื่อเราขายสินค้าแล้ว เราก็ต้องมีช่องทางให้ลูกค้าเข้าไปซื้อสินค้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นในช่วงท้ายของหน้า Sale Page ควรแปะช่องทางการติดต่อ หรืออาจจะแทรกปุ่มกดซื้อเพื่อให้ซื้อสินค้านั้นได้จาก Sale Page เลย อีกอย่างอาจจะเป็นปุ่มที่ติดต่อเซลล์หรือเจ้าหน้าที่แบบทันทีทันใจ เผื่อลูกค้าที่เข้ามาดูมีข้อสงสัย ก็จะสามารถติดต่อได้ทันที
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง
อย่าพยายามขายจนเกินความจำเป็น
แนะนำว่าลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบสินค้าที่ Hard Sale ขนาดนั้น แต่ชอบสินค้าที่กระตุ้นอารมณ์ให้อยากซื้อมากกว่า ถ้าเกิดว่าคุณเน้นขายแบบจัด ๆ เลื่อนมาตรงไหนก็มีแต่ปุ่มให้กดซื้อหรือมีแต่ราคาของสินค้าในทุก ๆ Section ของ Sale Page ซึ่งอาจจะทำให้ลูกค้าปิดหน้าเว็บหนี และไปดูเจ้าคู่แข่งของคุณได้เลย
อย่าใส่ Text เยอะเกินไป
แน่นอนว่า ลูกค้าที่เข้ามายังหน้า Sale Page หลายต่อหลายคน เข้ามาจาก Ads หรือคนที่มาค้นหาใน Google เจอแล้วคลิกมา เพื่อต้องการรู้รายละเอียดของสินค้าเพิ่มเติม แต่ถ้าเกิดว่าคุณมีการใส่ Text ที่เยอะเกินไปเหมือนอ่านเรียงความ ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะปิดหนีไปเช่นกัน ดังนั้น ตรงไหนเป็น Text ได้ ก็ควรเป็น Text หรือตรงไหนที่สามารถย่อย Text เป็นรูปภาพได้ ก็ควรทำแบบนั้น
เลียนแบบเจ้าคู่แข่ง
ไม่ว่าแบรนด์ไหน ก็อยากจับลูกค้าให้อยู่หมัด คุณเองก็เช่นกัน แต่การที่จะปิดการขายลูกค้าภายในหน้าเพจเดียวก็ไม่ง่ายเช่นกัน แต่วิธีที่ดี ไม่ใช่วิธีของการลอกเลียนแบบคู่แข่ง ทำมาเหมือนเป๊ะซะทั้งหมด เพราะลูกค้าบางเจ้าที่คลิกเข้ามา เขาอาจจะเคยไปอ่าน Sale Page ของคู่แข่งมาแล้ว ดังนั้น ควรทำ Sale Page ให้สื่อถึงแบรนด์ของตัวเอง บอกเล่าสินค้า กระตุ้นยอดขาย และปิดจบให้ได้ในแบบของตัวเอง และทำให้แตกต่าง เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ได้มากกว่าให้ได้
แนะนำ 5 เว็บไซต์ทำ Sale Page ฟรี ยอดนิยมในไทย
1. Wix
หนึ่งเจ้าในการทำเว็บ Sale Page ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ที่ต้องการมีหน้า Sale Page เป็นของตัวเอง เพราะเป็นเว็บไซต์ที่สามารถใช้งานได้ฟรี มีเครื่องมือที่ช่วยให้การสร้างเว็บไซต์นั้นง่ายและสะดวกต่อผู้ใช้งาน แถมเว็บไซต์นี้ ยังมีระบบรองรับการขายสินค้าที่ช่วยนักการตลาดออนไลน์ได้หลายรูปแบบ หรือถ้าใครไม่อยากดีไซน์เอง Wix ก็มีเทมเพลตสำเร็จรูปที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสวยงามขึ้นมาได้เช่นกัน
2. WordPress
อีกหนึ่งเว็บไซต์ CMS ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ สำหรับพ่อค้าแม่ค้า และนักพัฒนาเว็บไซต์ เพราะ WordPress สามารถช่วยนำเสนอคอนเทนต์หรือสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย แถมยังมี Sale Page สำเร็จรูปที่ช่วยให้ทำ Sale Page ได้สวยงามและหลากหลายมากขึ้น ซึ่งใน WordPress จะมีวางโครงสร้างด้วยรูปแบบของ Theme, Page Builder และ Plugin ใช้งานได้ง่ายและสะดวก ต่อให้ทำเว็บไซต์ไม่เป็น ก็สามารถใช้งาน WordPress ได้เช่นกัน
3. Weebly
เว็บไซต์ Sale Page ฟรีที่เหมาะมาก ๆ สำหรับนักการตลาดออนไลน์รุ่นใหม่ ที่มีความคิดทันสมัย ชอบ Sale Page แบบล้ำ ๆ สามารถสร้าง Sale Page ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะเว็บไซต์นี้ สามารถออกแบบงานได้ผ่านสมาร์ตโฟน และมีฟีเจอร์ที่ส่งเสริมการขาย ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างครบครัน
4. Portfoliobox
ถ้า Sale Page ของคุณเน้นรูปภาพและวิดีโอ มีการออกแบบ Layout ที่มีความทันสมัย ดูน่าใช้งาน ใช้รูปภาพในการนำเสนอสินค้ามาก ๆ แนะนำ Portfoliobox มีเครื่องมือทางการตลาดที่ช่วยให้ทำการตลาดออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย
5. Squarespace
เว็บไซต์สำหรับทำ Sale Page ฟรีที่มีเทมเพลตให้เลือกหลากหลาย สามารถช่วยให้คุณนำเสนอข้อมูลของสินค้าได้ครบจบที่หน้าเดียวและระบบของ Squarespace มีระบบสำหรับการกระตุ้นยอดขายและช่วยเรื่อง SEO การ Search บน Google ได้ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างของ Sale Page ที่ดี
1. ดูเรียบง่าย เป็นทางการ
สำหรับ Sale Page บางเพจ ไม่จำเป็นต้องมีสีสันที่ฉูดฉาดเพื่อดึงดูดสายตา แต่สามารถทำให้เรียบหรู น้อยแต่มากได้ใน Sale Page 1 หน้า เน้นตัวหนังสือให้ชัดเจน เน้นจุดที่ต้องการกระตุ้นยอดขาย และดึงดูดใจผู้ที่คลิกเข้ามาได้ตั้งแต่แบนเนอร์ด้านบนของ Sale Page
2. เน้นสินค้าและรายละเอียดให้ชัด
บาง Sale Page ต้องการนำเสนอสินค้าแบบเจาะจง ดังนั้น จำเป็นต้องให้ลูกค้าเห็นสินค้าได้ในทุกมุมมอง และทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็น ชื่อสินค้า ดีเทลต่าง ๆ ขนาดสินค้า ราคาสินค้า ระยะเวลาของโปรโมชัน ควรมีทั้งหมด และอย่าลืม ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าส่วนใหญ่ก็เพราะรีวิว ดังนั้น ควรเพิ่มรีวิวแปะไว้ด้วย เพื่อช่วยในการตัดสินใจของลูกค้าได้มากขึ้นนั่นเอง
สรุป
การทำ Sale Page ไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่ใช่เรื่องยาก แนะนำว่าก่อนที่จะเริ่มทำ Sale Page อาจจะต้องมีการวางแผนก่อนว่าทำไปเพื่อใคร กลุ่มเป้าหมายคืออะไร ต้องการจะโปรโมทสินค้าหรือบริการอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้ลงทุนครั้งหนึ่งแล้วไม่เสียเปล่า เมื่อปล่อย Sale Page ตัวนี้ไปแล้วจะต้องได้ลูกค้ากลับมาอย่างแน่นอน
หากคุณต้องการที่ปรึกษาการรับทำเว็บไซต์ WordPress หรือทีมงานมืออาชีพด้านการทำ Online Marketing มาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานให้ธุรกิจ ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้
โทร.065-095-9544
Inbox: m.me/cotactic
Line: @cotactic
——————————————————————–