การวัดผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ ROI เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจว่าการลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด และสามารถตัดสินใจเลือกลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ ROI กันมากขึ้น ว่าคืออะไร วิธีการคำนวณ ความสำคัญ รวมถึงกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่ม ROI ให้ธุรกิจ
ROI คืออะไร
ROI (Return on Investment) คือ การสรุปตัวเลขผลตอบแทนที่ธุรกิจหรือแบรนด์ได้ลงทุน เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ของธุรกิจว่า กำไร ขาดทุน หรือคุ้มค่าในการลงทุนหรือไม่
วิธีคำนวณ ROI
สูตรคำนวณ ROI
ROI = (รายได้ – ตุ้นทุน) / ต้นทุน
ตัวอย่างการคำนวณ ROI
แบรนด์มียอดขายรวมทั้งหมด 360,000 บาท โดยมีค่าใช้จ่ายในการผลิต และค่าโฆษณา 100,000 บาท เมื่อเอาสูตรมาแทนค่าจะได้เป็น
ROI = (360,000 – 100,000) / 100,000 = 2.6
ประโยชน์ของ ROI
- ROI ช่วยแบรนด์หรือธุรกิจตัดสินใจในการลงทุน เช่น การเพิ่มงบประมาณในการโฆษณาสินค้าหรือบริการ การจัดซื้อเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าใหม่ เป็นต้น
- ROI เป็นตัววัดผลประกอบการของแบรนด์หรือธุรกิจได้เป็นอย่างดี เพราะจะทำให้รู้ว่าเป้าหมายทางธุรกิจที่แบรนด์ต้องการจะเป็นอย่างไร หรือควรปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอย่างไรจึงจะได้มี ROI อยู่ในเกณฑ์ดีที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- นอกจากนี้ ROI ยังใช้สำหรับการประเมินและเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างประเภทสินค้าได้ เช่น ถ้าแบรนด์ขายลิปสติกได้ ROI สูงกว่าการขายบลัชออน ดังนั้นแบรนด์ควรพิจารณาในการลดการขายบลัชออน และเพิ่มการขายลิปสติกให้มากยิ่งขึ้นทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
- ROI ยังช่วยในการกำหนดกลยุทธ์การตลาด กล่าวคือนำ ROI มาช่วยในการวัดผลแคมเปญทางการตลาดในระยะเวลาสั้นในด้านการกระตุ้นยอดขายของสินค้าหรือบริการ นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยในระยะยาวคือ มุมมองที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ (Brand Perception) ที่เป็นตัวช่วยในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดให้กับแบรนด์หรือธุรกิจได้ระยะยาว
กลยุทธ์การตลาดช่วยเพิ่ม ROI
- การทำโฆษณาผ่านช่องทาง Social Media เช่น Instagram Ads, Facebook Ads, Tiktok Ads เป็นต้น ซึ่งแบรนด์สามารถใช้การโฆษณาเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ และสร้าง Brand Awareness ได้ในวงกว้าง
- เพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย ด้วยการทำ SEO เพราะเมื่อเว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา ส่งผลให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึงโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการมากขึ้นตามไปด้วย
- เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย ด้วยการทำ Remarketing เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายมีความสนใจในผลิตภัณฑ์ หรือบริการของธุรกิจมาก่อน ทำให้มีโอกาสที่จะตัดสินใจซื้อมากขึ้น หากเห็นโฆษณาของแบรนด์ซ้ำ ๆ
รวบรวมเว็บช่วยคำนวณ ROI
เว็บไซต์ที่จะช่วยชาวการตลาดหรือนักธุรกิจคำนวณค่า ROI ได้สะดวกและรวดเร็ว มีดังนี้
ClickZ
ClickZ คือ เว็บไซต์ที่แบรนด์สามารถคำนวณค่า ROI หรือ Return on Investment ได้โดยการกรอกตัวเลขสำหรับคำนวณค่า ROI ลงในช่องว่างหลังจากนั้นจะได้ค่า ROI ออกมาอัตโนมัติ ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ประหยัดเวลาและได้ค่าที่แม่นยำ
Calculator.net
Calculator.net คือ เว็บไซต์ที่แบรนด์สามารถคำนวณค่า ROI หรือ Return on Investment ได้โดยการกรอกตัวเลขสำหรับคำนวณค่า ROI ลงในช่องว่าง และระบบจะวิเคราะห์ค่าของ ROI ออกมาในรูปแบบเปอร์เซ็นต์และสามารถระบุช่วงเวลาในการคำนวณเป็นรายเดือนหรือรายปีได้
Workplace
Workplace คือ เว็บไซต์ที่แบรนด์สามารถคำนวณค่า ROI หรือ Return on Investment ที่เหมาะกับธุรกิจหรือแบรนด์เพราะมีการอ้างอิงเกณฑ์ค่า ROI ที่เป็นมาตรฐานที่น่าเชื่อถือและมีการสรุปการแสดงผลที่ละเอียดและชัดเจน
ROI ลงทุนเท่าไหร่ถึงดี
ค่าของ ROI หรือ Return on Investment จะอยู่ในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีเกณฑ์สำหรับไว้ใช้ประเมินในการลงทุน ดังนี้
- ถ้าค่า ROI มีค่ามากกว่า 0 หรืออยู่ในช่วง 100% หมายถึงแบรนด์หรือธุรกิจได้รับกำไรจากการลงทุน และถ้าค่า ROI ยิ่งมีค่าสูงแสดงว่าแบรนด์หรือธุรกิจได้รับกำไรจากการลงทุนค่อนข้างสูง
- ถ้าค่า ROI มีค่าน้อยกว่า 0 หรืออยู่ในช่วง 100% หมายถึงแบรนด์หรือธุรกิจกำลังขาดทุนจากการลงทุน และถ้าค่า ROI ยิ่งมีค่าต่ำแสดงว่าแบรนด์หรือธุรกิจกำลังขาดทุนจากการลงทุนค่อนข้างสูง
จากทั้งหมดที่กล่าวมา ROI คือ ตัวเลขผลตอบแทนจากการที่แบรนด์หรือธุรกิจได้ลงทุน ซึ่งช่วยให้แบรนด์หรือธุรกิจ เลือกตัดสินใจลงทุนได้อย่างคุ้มค่า และเกิดผลประโยชน์ทางธุรกิจมากที่สุด
หากคุณต้องการที่ปรึกษาการรับทำเว็บไซต์ WordPress หรือทีมงานมืออาชีพด้านการทำ Online Marketing มาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานให้ธุรกิจ ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้
โทร.065-095-9544
Inbox: m.me/cotactic
Line: @cotactic
——————————————————————–
ข้อมูลอ้างอิง(แหล่งอ้างอิงข้อมูล)