กว่า 96% ของลูกค้าบนเว็บไซต์ธุรกิจเป็นคนที่ยังไม่พร้อมจะซื้อสินค้า/บริการจากธุรกิจในทันที
ข้อมูลจาก Marketo
กว่า 63% ของลูกค้าที่เข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากธุรกิจ จะยังไม่ทำการซื้อสินค้า/บริการเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน ข้อมูลจาก Marketing Donut
ข้อมูลที่น่าสนใจเหล่านี้สำคัญต่อธุรกิจและการทำ Lead Generation อย่างไร?
หากธุรกิจมีเว็บไซต์ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมข้อมูลให้กลายเป็นลูกค้าที่สามารถทำกำไรให้ธุรกิจได้ แล้วจะมีเว็บไซต์ไปทำไมกัน ถูกต้องไหมครับ? กลยุทธ์ Lead Generation จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่สำคัญต่อธุรกิจในยุคนี้ที่หลายต่อหลายต่อหลายแบรนด์นำมาใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่สามารถนำไปต่อยอด สร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายจนสามารถปิดการขายได้ในอนาคต
เว็บไซต์ธุรกิจ อย่างเช่น คอร์สเรียนออนไลน์, คลินิก, อสังหาริมทรัพย์, ยานยนต์ ฯลฯ ที่ไม่ใช่รูปแบบ E-commerce จะไม่สามารถปิดการขายได้ด้วยตัวมันเอง บางทีเราจึงเห็นหน้าเว็บไซต์ที่มีข้อมูลติดต่อ ไม่ว่าจะทาง Facebook, เบอร์โทร, หรือไลน์ แต่ส่วนใหญ่กว่าลูกค้าจะหาข้อมูลติดต่อตรงนี้เจอ ก็อาจจะเสียอารมณ์จนกดออกจากเว็บไซต์ได้
การทำ Lead Generation หรือการสร้างแบบฟอร์มให้ลูกค้ากรอกเพื่อให้ธุรกิจติดต่อกลับบนหน้าเว็บไซต์จึงเป็นเทคนิคการตลาดที่ทำให้ลูกค้าและธุรกิจเข้าถึงกันได้ง่ายขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสที่ธุรกิจสามารถปิดการขายได้ เพราะลูกค้าที่เข้ามากรอกแบบฟอร์ม (หรือที่เรียกว่า Lead) มีความสนใจในธุรกิจระดับหนึ่งและพร้อมให้ธุรกิจโทรมาเพื่อขายสินค้า/บริการอยู่แล้ว และถึงแม้จะปิดการขายไม่ได้ในทันที แต่อย่างน้อยคุณก็มีข้อมูลลูกค้าที่สามารถใช้ในการ Follow-up และช่วยให้ปิดการขายได้ในอนาคต
แล้วแบบนี้ถ้าคุณมีเว็บไซต์อยากเริ่มทำ Lead Generation ต้องทำยังไงบ้างละ? วันนี้ Cotactic จึงจะมาแนะนำ 6 องค์ประกอบสำคัญว่าการมีเว็บไซต์สำหรับ Lead Generation ที่ดีมันหน้าตาเป็นยังไงและในแต่ละส่วนสามารถช่วยให้ลูกค้ากรอกแบบฟอร์มได้อย่างไร
องค์ประกอบเว็บไซต์ Lead Generation ที่มีประสิทธิภาพมีอะไรบ้าง?
- Lead Form
- Call to action
- Educational Content
- User Experience
- Testimonial
- Nurture Strategies
1. Lead Form: สร้างแบบฟอร์มให้น่าสนใจ
แน่นอนว่าอยากจะทำเว็บไซต์ Lead Generation สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือ Lead Form หรือ แบบฟอร์มเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายกรอกข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นชื่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล และข้อมูลอื่นๆที่มีความจำเป็นต่อการปิดการขาย การมี Lead form คุณภาพ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีอยู่หลักๆ 4 อย่างด้วยกันดังนี้ครับ
- คำถามคัดกรอง: โดยปกติแล้ว Lead Form ที่ดีจะต้องสามารถทำให้ทีมขายสามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้น หากคุณมีเพียง คำถามทั่วไป เช่น ชื่อ อีเมล เบอร์โทรศัพท์ อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมขายเข้าใจลูกค้าได้ เช่น Lead Form ธรุกิจอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับคอนโด อาจเพิ่มคำถาม ประเภทห้อง และ งบประมาณ เป็นต้น แต่อย่าสร้างคำถามที่มากจนเกิดไป เพราะกลุ่มเป้าหมายจะรู้สึกว่าการกรอกข้อมูลต้องใช้เวลามากเกินไปจนกดออกระหว่างทางได้
- ข้อเสนอ: การมีข้อเสนอที่น่าดึงดูดเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้ว่าถ้าพวกเขาให้ข้อมูลไป แล้วจะได้อะไรกลับมา ยิ่งข้อเสนอน่าดึงดูดเท่าไหร่โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะยอมให้ข้อมูลกับธุรกิจก็จะมีมากขึ้น เช่น ลงทะเบียนเพื่อจองสิทธิ์รับโปรโมชั่น หรือลงทะเบียนทดลองขับรถของเราวันนี้!! เป็นต้น
- Call-to-action: เมื่อมีข้อเสนอและคำถามที่ดีแล้ว ก็ต้องมีปุ่มเพื่อกระตุ้นให้อยากกดส่งข้อมูลครับ อย่างในตัวอย่างรูปภาพด้านบนนี้ ปุ่มเหลืองๆที่มีคำว่า รับกลยุทธ์จาก Digital Expert นี้เองครับ ที่เรียกว่าปุ่ม Call-to-action เป็นปุ่มที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่กรอก Lead form รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป
- ตำแหน่งของ Lead Form: เรื่องของตำแหน่งเป็นอะไรที่ต้องทำการ Testing เพื่อค้นหาว่าตำแหน่งไหนที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายกรอก Lead Form มากที่สุดสำหรับเว็บไซต์คุณ แต่ทาง Cotactic ขอแนะนำว่าควรจะอยู่ด้านบนสุด เพราะหลายๆครั้งที่กลุ่มเป้าหมายใช้เวลาในการอ่านข้อมูลแต่ไม่กรอกฟอร์มเนื่องจากไม่รู้ว่ามีฟอร์มให้กรอก
2. Call to Action: ย้ำปุ่มกระตุ้นการกระทำ
คุณคงจะได้คุ้นกับคำว่า Call-to-action มาบ้างแล้วจากข้อที่ 1 แต่ Call-to-action จริงๆแล้วเป็นแค่ปุ่มอย่างนั้นหรอ? ทำไมถึงสำคัญมากเพื่อให้มีคนกรอก Lead Form มากขึ้น
สิ่งๆนี้สำคัญมากครับ ที่จะต้องมีในทุกๆหน้าของเว็บไซต์เพื่อเตือนใจให้เกิดการกระตุ้นการกรอก Lead Form ของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นหน้า Homepage, หน้าบทความ, หน้าข้อมูลติดต่อ ฯลฯ
อย่างเช่นรูปภาพในตัวอย่างด้านบนเป็นหน้าเว็บไซต์หนึ่งของ Cotactic จะสังเกตเห็นได้ว่าในกรอบแดงนี้คือ Call to Action ทั้งหมด หรือจะทำเป็น ปรึกษาเอเจนซี่ “รับทำโฆษณาออนไลน์” ที่เป็นลิงค์ตัวอักษรแบบนี้ก็ได้ครับ เว็บไซต์ที่สามารถเปลี่ยนคนบนเว็บให้กลายเป็น Lead ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องบริหาร Call to action บนแต่ละส่วนของเว็บไซต์ให้ดีครับ
3. Educational Content: คอนเทนต์ให้ความรู้เปลี่ยนคนไม่รู้จักเป็นว่าที่ลูกค้า
หากต้องการเพิ่มจำนวนคุณภาพ Lead บนเว็บไซต์การทำคอนเทนต์ให้ความรู้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น วิดีโอ, บทความ, Infographic และอื่นๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะการที่ลูกค้าจะไว้ใจมอบข้อมูลให้กับธุรกิจได้ง่ายขึ้น ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ว่าเขารู้จักคุณมากแค่ไหน ผ่านคอนเทนต์เหล่านี้แหละครับ สถิติจาก Hubspot ระบุว่าการทำ Content Marketing สามารถเพิ่มจำนวน Lead ได้มากถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับการโฆษณา
และในขณะเดียวกันการทำคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอยังเป็นผลดีต่อเว็บไซต์ในด้านของการทำ SEO เป็นส่วนหนึ่งของเทคนิคการตลาดเพื่อทำให้เว็บไซต์ติดอันดับผลการค้นหาของ Google ส่งผลให้จำนวนเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น และสุดท้ายเพิ่มโอกาสคนกรอก Lead และอย่าลืมใส่ Call to Action เข้าไปในทุกๆคอนเทนต์ด้วยครับ
4. User Experience: ปรับเว็บไซต์ให้น่าใช้งาน
เว็บโหลดช้า? ข้อความยาวไม่น่าอ่าน? Interface บนมือถือดูไม่สวยงาม? หากคุณเจอปัญหาเหล่านี้ระหว่างใช้งานเว็บไซต์ คุณจะยังคงอยู่บนเว็บไซต์ต่อหรือไม่ครับ? ดังนั้นการให้ความสำคัญกับ User Experience หรือ ประสบการณ์การใช้งานของกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม รวมไปถึงออกแบบเว็บไซต์ให้มีความ User-friendly ด้วยเช่นกัน
โดยปกติแล้ว ผู้ใช้งานออนไลน์จะกดออกจากเว็บไซต์นั้นทันทีหากเว็บไม่โหลดภายใน 5 วินาที ซึ่งนี้หมายถึงการสูญเสียจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic) ไปฟรีๆ และส่งผลไปถึงจำนวนการกรอก Lead Form
ทั้งนี้ปัจจัยการเพิ่ม User-experience ของเว็บไซต์ในเบื้องต้น เช่น
- ความเร็วการโหลดเว็บไซต์ และรูปภาพ
- Mobile Friendly
- การจัดเรียงคอนเทนต์ หัวข้อ H1,H2,H3 และเนื้อหา ให้อ่านง่าย
- การจัดเรียงปุ่ม Call to Action ให้กลุ่มเป้าหมายได้เจอสิ่งที่ต้องการค้นหาได้ง่ายขึ้น
5. Testimonial: รีวิวลูกค้าต้องบอกให้รู้!!
Testimonial หรือ รีวิวจากลูกค้าเป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่ถูกยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูงมาอย่างยาวนาน เพราะ สามารถสร้างความไว้วางใจให้กลุ่มเป้าหมาย และชื่อเสียงให้กับแบรนด์ อีกทั้งยังสร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญให้กับคุณได้ ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีความมั่นใจที่จะกรอก Lead Form และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หากคุณมีข้อความหรือวิดีโอประสบการณ์ใช้งานสินค้า/บริการจากลูกค้า อย่าลืมเอามาวางไว้บนหน้าเว็บไซต์และบอกให้กลุ่มเป้าหมายได้รับรู้หละ
6. Nurturing Strategies: กลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์ไปสู่ปิดการขาย
มาถึงขั้นตอนสุดท้าย ถ้าหากคุณได้เติมส่วนประกอบต่าง ๆ ตามที่เราแนะนำไปในข้อ 1-5 นี้ แล้วเริ่มมีจำนวนคนกรอก Lead Form เข้ามาทำให้ชื่นใจบ้าง ปัญหาหนึ่งที่ทุกธุรกิจจะต้องเจอก็คือ การที่กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจสินค้าแต่ยังไม่พร้อมที่จะใช้สินค้า/บริการตอนนี้ หากเจอกับปัญหาแบบนี้อย่าท้อแท้ใจไปครับ เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแค่คุณจำเป็นจะต้องมีวิธีการพัฒนา Lead ให้กลายเป็นลูกค้าอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการทำ Line Marketing, Email Marketing, Social Media Marketing ก็ตาม เป็นการส่งคอนเทนต์ให้ความรู้, กิจกรรมของแบรนด์, โปรโมชั่นหรือสิทธิพิเศษ
เพราะระยะเวลาการตัดสินใจซื้อของลูกค้าแต่ละคนไม่เท่ากัน บางที อาจใช้เวลา 1 อาทิตย์, 1 เดือน, 3 เดือน หรือเป็นปี
กลยุทธ์เหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเป็นการ Follow-up ลูกค้าที่ยังไม่พร้อมใช้สินค้า/บริการ หรือยังตัดสินใจไม่ได้ ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มโอกาสที่จะเป็นลูกค้าธุรกิจในอนาคต
————————————————————
ถึงตาของคุณแล้ว!! เริ่มสร้างเว็บไซต์ Lead Generation วันนี้ หากคุณไม่มีเวลาทำด้วยตัวเอง ลองแชร์ธุรกิจให้เราฟังเราพร้อมให้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress และ ทำแผนการตลาดสำหรับธุรกิจ
หรือติดต่อ
โทร.065-095-9544
Inbox: https://m.me/cotactic
Line@: https://bit.ly/cotactic