เป็นที่ทราบกันดีว่ากลุ่มคนที่อยู่ในวงการ Digital Marketing Agency หรือผู้ประกอบการ, เจ้าของธุรกิจ มักจะเสาะหาความรู้ทางด้านธุรกิจเพื่อพัฒนาองค์กรและลับคมอาวุธทางการตลาดกันอยู่เสมอ เหตุเพราะต้องการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ดีที่สุด เพื่อดึงดูดลูกค้าและนักลงทุนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำธุรกิจร่วมกัน คุณอาจสังเกตได้ว่าตามช่องทางโซเชียลมีเดีย อย่างเช่น Facebook, Twitter นั้น ผู้คนดูให้ความสนใจกับคอนเทนต์การ “ถอดบทเรียน” จากแบรนด์ดัง ๆ มากเป็นพิเศษ หลังจากที่แบรนด์เหล่านั้นประสบความสำเร็จด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ทำไม Netflix ถึงมีการบริหารที่แตกต่าง, แผนธุรกิจของ Amazon เป็นอย่างไร, ทำไม Influencer คนนี้ถึงทำรายได้เฉียดล้านภายในข้ามคืน เป็นต้น
หากลองสังเกตดี ๆ แล้ว พวก Digital Marketing Agency, บริษัทโฆษณา, บริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกเหล่านี้มักมีกลยุทธ์ทางการตลาดบางอย่างที่มีความคล้ายคลึงกันอยู่ ซึ่งเป็นหลักในการบริหารสำคัญทำให้บริษัทเหล่านั้นครองใจคนและเติบโต จนกลายเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ ซึ่งวันนี้เราจะมารวมกลยุทธ์สำคัญที่ Digital Marketing Agency เหล่านั้นต่างก็ใช้ทำการตลาด มาแชร์ให้ทุกคนได้ทราบกัน!
1. สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า (Brand Experience)
ในการทำการตลาดยุคก่อน Marketing Agency และ Advertising Agency อาจต้องทุ่มงบการทำการตลาดไปกับสื่อกลางแบบ Analog เป็นหลัก เช่น การลงทุนเสียค่าโฆษณาในทีวี การตีพิมพ์ข้อความลงสื่อสิ่งพิมพ์ หรือบิลบอร์ดที่ติดอยู่ตามตึกรามบ้านช่อง เป็นต้น หลังจากที่โลกเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล การเชื่อมโยงระหว่าง Marketing Agency กับผู้บริโภคจึงต้องว่องไวมากขึ้น เอเจนซี่บางแห่งต้องปรับตัวจนกลายเป็น Digital Marketing Agency แทน ซึ่งต้องนำเทคโนโลยีมาสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าให้ได้มากและสร้างสรรค์ที่สุด หลายแบรนด์ทำ Viral Video หรือ Content ที่อิงกับกระแสสังคมในเวลานั้น ๆ (Real-time Content) เพื่อสร้าง Talk of the town สอดรับกับพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต
สาเหตุที่เราควรให้ความสำคัญกับการสร้าง Brand Experience เป็นอย่างมาก เนื่องจากสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค คือ ประสบการณ์ของลูกค้าในการใช้สินค้านั้น ๆ เพราะสามารถนำไปสู่การตัดสินใจซื้อในครั้งหน้า ว่าลูกค้าจะกลับมาใช้บริการซ้ำ หรือเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น ประสบการณ์ของลูกค้านั้นเกี่ยวข้องกับทุกปฏิสัมพันธ์ที่บริษัทมีต่อลูกค้า ตั้งแต่การติดต่อกันครั้งแรก การพบเห็นโฆษณา จนกระทั่งปิดการขาย ทุก ๆ ขั้นตอนถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์และทัศนคติที่ลูกค้าจะมีต่อธุรกิจของคุณ
Digital Marketing Agency หลายแห่งในปัจจุบันต้องขยับตัวเองไปเป็นที่ปรึกษาธุรกิจให้กับลูกค้า เพื่อทำหน้าที่เป็น Business Solution ตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ทำให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อสินค้า หรือใช้บริการแบรนด์นั้น ๆ ให้ไวและง่ายที่สุด
2. Digital Marketing Agency กับ นวัตกรรม (Innovation)
Digital Marketing Agency ที่จะสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง จำเป็นที่จะต้องมีนวัตกรรมใหม่ ๆ นำเสนอออกสู่สายตาตลาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงถึงการปรับตัว และการพัฒนาให้ผลงานที่ออกมามีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งการมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ตรงนี้ไม่ได้หมายความถึง “ตัวสินค้า” เท่านั้น แต่นวัตกรรมที่บรรดา Digital Marketing Agency ระดับแนวหน้ามักจะใส่ใจอยู่เสมอนั้น ยังรวมไปถึง การออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ เช่น เพิ่มช่องทางการขายใหม่ การให้บริการรูปแบบใหม่ อาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีจากเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างได้จากบริษัท Google ที่ใช้เวลากว่า 70% ในการสร้างนวัตกรรม ในกลุ่มตลาดเดิมที่ตนมีอยู่ ซึ่งเป็นหลักที่ดีที่ทำให้เรายังคงอยู่ในตำแหน่งการแข่งขันเดิมได้ และยังปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานไปในเวลาเดียวกัน โดยวิธีนี้เป็นวิธีการที่ทำได้ง่าย แต่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กอาจละเลยไป เพราะมองว่าการทดลองลงทุนสร้างนวัตกรรมใหม่ในตลาดใหม่ดูมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า อย่างไรก็ตามหากลองพิจารณากลุ่มลูกค้าเดิมที่มีอยู่ แล้วเริ่มพัฒนาสิ่งที่เรามีอยู่แล้วอออกไปเรื่อย ๆ โอกาสที่จะล้มเหลวย่อมน้อยกว่า และมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าด้วย
คุณอาจเคยได้ยินชื่อเสียงของ WPP ซึ่งเป็นบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ของโลกกันมาบ้างแล้ว WPP เป็นบริษัทแม่ของเหล่า Digital Marketing Agency, PR Agency, Media Agency และ Research Agency ชื่อดังทั้งในไทยและทั่วโลกอย่าง Ogilvy, (Y&R), Grey, Millward Brown, Kantar เป็นต้น โดย WPP ได้เข้าซื้อกิจการบริษัท Satalia ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence – ปัญญาประดิษฐ์) ซึ่งมีลูกค้าเป็นบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย เช่น Unilever, Tesco, BT, DFS, DS Smith ถือเป็นการลงทุนที่ซื้อนวัตกรรม AI มาใช้ เพื่อต่อยอดการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย Mark Read, CEO ของ WPP เชื่อว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกำลังปฏิวัติวิธีที่ผู้คนใช้ชีวิต, การทำงาน, การซื้อสินค้า, วิธีที่แบรนด์ต่าง ๆ เข้าสู่ตลาด และวิธีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ ทำให้ลูกค้ากำลังมองหา Solution แบบครบวงจร ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้สร้างธุรกิจให้เติบโต สิ่งที่ WPP ทำเป็นการขยายตลาดให้กว้างออกไปอีก ในขณะที่ยังคงเสริมความแข็งแกร่งของตลาดเดิมไปด้วย
3. Long Tail Business กลยุทธ์ที่ทำให้ “ขายได้มากกว่า”
มีเทคนิคที่ Digital Marketing Agency มักแนะนำให้แบรนด์ธุรกิจยักษ์ใหญ่ระดับโลกหลายแบรนด์ใช้ นั่นก็คือ กลยุทธ์แบบ “Long Tail” หรือ “การตลาดหางยาว” ที่ไม่จำเป็นต้องงัดเฉพาะสินค้ายอดนิยมหรือโปรโมทแต่สินค้าเจ๋ง ๆ เท่านั้น เพราะ Long Tail คือกลยุทธ์ที่เน้นลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงเพียงบางกลุ่ม และเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับน้ำหนักของกลุ่มลูกค้าทีมีกำลังซื้อน้อยกว่าแต่มีจำนวนมากกว่า เป็นการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ไปเรื่อย ๆ ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ยกตัวอย่างจาก Amazon.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายสินค้าชื่อดังระดับสากล ที่สามารถขายหนังสือออนไลน์ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แนะนำอยู่บนหน้าเว็บไซต์ได้มากกว่า 40% ของรายได้เลยทีเดียว หรือกรณีของ Netflix แพลตฟอร์มการดูหนังแบบออนไลน์ที่ประเภทของหนังก็มีทั้งยอดนิยม และไม่ได้เป็นที่นิยมรวมอยู่ด้วยกัน แต่ Netflix ก็ยังกวาดกำไรจากตรงนี้ได้มาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปัจจุบันมีธุรกิจหน้าใหม่มากมายที่เกิดขึ้นจากกลยุทธ์ Long Tail นี้ ซึ่งบริษัทเหล่านั้นก็มีการนำเสนอสินค้าตามความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น Shopee, Lazada, iTunes, AirBnB เป็นต้น ดู ๆ แล้วก็สามารถบอกได้เลยว่านี่คือโอกาสของการทำธุรกิจในยุคที่ E-Commerce เฟื่องฟู สำหรับเอเจนซี่และธุรกิจใดที่สามารถตอบสนองสินค้าให้ผู้คนได้ทุกกลุ่ม ก็จะสามารถรักษาลูกค้าเดิมและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ต่อยอดออกไปได้ไม่รู้จบ
4. เฟืองที่สำคัญของธุรกิจ คือ “คน”
บริษัท Leo Burnett Group หนึ่งใน Digital Marketing Agency อันดับต้น ๆ ของประเทศไทยที่มีผลงานโดดเด่นระดับโลก ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในการทำงานและประสบการณ์ของบุคลากรในองค์กรค่อนข้างมาก โดยผู้บริหารของ “Leo Burnett Group (Thailand)” มักจะใช้วิธีการปรับ “ทัศนคติ” และ “วิธีคิด-กระบวนการทำงาน” อยู่เสมอด้วยการใช้วิธี “Walk the talk” และส่งบุคลากรทุกฝ่ายไป “Training” แบบข้ามสายงาน
ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่ผู้บริหารของ Leo Burnett ทุกคนทำ คือการลงไปคุยกับพนักงานทุกคนถึงวิสัยทัศน์ และแนวทางที่จะไป พร้อมทั้งกระตุ้นแรงบันดาลใจให้ทุกคนทดลองคิดลองทำ แน่นอนว่าย่อมมีทั้งผิดและถูกในช่วงแรก แต่ถือว่าทุกความผิดพลาดถือเป็นการเรียนรู้ วิธีการทำงานต่าง ๆ สามารถพัฒนาได้ ขณะเดียวกันสิ่งที่ทำควบคู่ไปด้วย คือ การเสริมทักษะความรู้-ความสามารถของบุคลากร เนื่องจากการเป็น Business Solution นั้น บุคลากรในองค์กรต้องมีมากกว่า 1 ทักษะเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างทันท่วงที บริษัทลีโอจึงทุ่มงบประมาณสำหรับส่งพนักงานแผนกต่างไปฝึกอบรมเป็นประจำ เช่น การส่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ (PR) ไปฝึกอบรมด้านธุรกิจ ส่ง Creative ไปฟังการวางแผนกลยุทธ์ หรือแม้แต่จัดฝึกอบรมการแสดง โดยจ้าง Acting Coach มาฝึกให้ที่ออฟฟิศ ให้กับแผนกงานที่ดูแลหลังบ้าน เพื่อให้คนเหล่านี้สามารถบริหารจัดการเสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดต่าง ๆ ได้ไวขึ้น
ที่มา : marketingoops.com
5. Content is (still) King
Digital Marketing Agency โดยเฉพาะสาย Content คงเข้าใจประโยคนี้เป็นอย่างดี เพราะเป็นประโยคเด็ดจาก Bill Gates ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft รายใหญ่ของโลกซอฟแวร์และอินเทอร์เน็ตนั่นเอง “Content is King” เป็นคำพูดที่เขาเคยกล่าวไว้ตั้งแต่ปี 1996 ฟังดูนานมากเลยใช่ไหมล่ะ เพราะกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมากลยุทธ์ทางการตลาดต่าง ๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนทิศทางตามเทคโนโลยีกันไปมากแล้ว แต่ในปัจจุบันคอนเทนต์นี้ก็ยังเป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดเสมอ ยิ่งกับโลกที่ผู้คนสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้จากอินเทอร์เน็ต ยิ่งทำให้ประโยคนี้ดูมีพลังมากขึ้นไปอีก เพราะ Content มันคือการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การสร้างภาพลักษณ์ หรืออื่น ๆ ที่ Digital Marketing Agency ต้องการเชื่อมต่อกับกลุ่มลูกค้าก็ตาม
Content is King and Context is Queen
อย่างไรก็ตาม การสร้างสรรค์คอนเทนต์ยังเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับ Digital Marketing Agency เสมอ เนื่องจากยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย โดยเฉพาะวิธีการที่จะเข้าถึงผู้ใช้งานที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์แต่ละประเภท, เวลาในการลง Content, กลุ่มเป้าหมายที่มีความแตกต่างด้านพฤติกรรมการใช้สื่อ เช่น หากคอนเทนต์ของคุณต้องการลงในช่องทาง Instagram ก็ควรใช้สื่อรูปภาพและวิดีโอเป็นหลัก หรือหากคอนเทนต์ของคุณต้องการลงใน Facebook ก็ควรใช้สื่อแบบผสมผสาน มีทั้งอินโฟกราฟฟิกที่เข้าใจง่ายและบทความที่กระชับ มีคุณภาพ
ถ้าจะพูดให้ครอบคลุมมากที่สุดก็คือ คุณควรจะมี คอนเทนต์ที่ใช่ ในเวลาที่ใช่ เพื่อส่งต่อไปยัง “คนที่ใช่” The Right Person in the Right Place at the Right Time แบบที่เคยได้ยินกันมานั่นแหละ หลักการเดียวกันเลย รับรองเลยว่าถ้าคุณทำข้อนี้ได้ ก็จะสามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายให้มาติดตามคุณ ซึ่งพวกเขาสามารถกลายเป็นลูกค้า แฟนคลับ กระทั่งสร้าง Brand Loyalty ได้อีกด้วย