Match Type (Keyword match types) หรือ Keyword matching option คือรูปแบบการจัดประเภทของ Keyword ที่ทาง Google นำมาใช้เพื่อให้ทุกคนที่ทำโฆษณาสามารถจัดการกับกลุ่ม Keyword ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้ตัวโฆษณาที่สร้างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น ซึ่งเราสามารถกำหนดประเภทของตัว Keyword ได้ง่าย ๆ ด้วยการใส่เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ เข้าไป เพื่อกำหนดให้คำหลักคำนั้นทำงานอย่างที่เราต้องการ โดยในปัจจุบันประเภทของ Keyword ที่ถูกใช้โฆษณา Google Ads นั้นมีอยู่ด้วยกัน ดังนี้
1.Broad match
Broad match คือ Keyword match type ที่ทำงานแบบกว้าง หากคุณเลือกใช้ Keyword ประเภทนี้ โฆษณาของคุณมีโอกาสที่จะปรากฏให้เห็นเมื่อมีคนใช้คำที่มีความหมายคล้าย คำที่มีความหมายเหมือนกัน หรือคำที่มีลักษณะการพิมพ์ที่ใกล้เคียงกับ Keyword ที่คุณกำหนดไว้ในการค้นหา เช่น หากเราใช้ Keyword ว่า แผนควบคุมอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ ตัวโฆษณาอาจจะปรากฏเมื่อมีคนค้นหาด้วยคำว่า อาหารปลอดคาร์โบไฮเดรต, การควบคุมอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ, สูตรอาหารแคลอรี่ต่ำ หรือโปรแกรมควบคุมอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ เป็นต้น โดย Keyword ประเภทนี้ไม่ต้องใส่สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายใด ๆ เพื่อใช้งาน
ที่มา: support.google.com/google-ads/answer
ข้อดีของ Broad match
- ช่วยให้ตัวโฆษณามีการแสดงผลที่มากขึ้น ทำให้กลุ่มเป้าหมายและผู้บริโภคทั่วไปมีโอกาสที่จะพบเห็นโฆษณามากกว่าปกติ
- เพิ่มโอกาสให้กับตัวธุรกิจเพราะยิ่งมีคนเห็นมาก ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดกิจกรรมการซื้อขายมากขึ้น
- สามารถเข้าไปเช็กใน Search Term Report เพื่อค้นหา Keyword ใหม่ ๆ ได้อีกด้วย
ข้อเสียของ Broad match
- แม้การที่โฆษณาถูกพบเห็นมากจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ใช่ว่าทุกคลิกที่เข้ามาจะมีคุณภาพ คนที่คลิกเข้ามาอาจจะไม่ได้สนใจสินค้าหรือบริการของคุณ ซึ่งมันอาจทำให้คุณต้องเสียเงินฟรี และอาจทำให้ Google คิดว่าโฆษณาของคุณไม่มีคุณภาพก็เป็นได้
- ตัวโฆษณาอาจสร้างความรำคาญให้กับผู้บริโภคที่ไม่ต้องการจะเห็น จนทำให้ตัวธุรกิจเสียภาพลักษณ์ก็เป็นได้
2.Phrase Match
Phrase Match คือ Keyword match type ประเภทวลีหรือรูปแบบประโยค ที่ได้รับการยกเครื่องและปรับปรุงการทำงานใหม่ตั้งแต่กลางปี 2021 ที่จากเดิมระบบจะแสดงโฆษณาให้กับคนที่ใช้คำค้นหาที่มี Keyword ที่ถูกกำหนดไว้ในประโยค โดยที่คำคำนั้นต้องไม่ถูกแทรกกลางหรือถูกสลับเปลี่ยนลำดับใด ๆ แต่ในปัจจุบัน Phrase Match มีขอบเขตการทำงานที่กว้างและยืดหยุ่นขึ้น โดยตัวโฆษณาจะปรากฏให้คนที่ใช้คำค้นหาเห็นมากขึ้น แม้ว่าคำคำนั้นจะถูกแทรกกลางหรือถูกสลับตำแหน่งหน้าหลังในประโยค (แต่ต้องคงความหมายเดิม) เช่น หากเราใช้ Keyword ว่า “รองเท้าเทนนิส” ตัวโฆษณาอาจจะปรากฏเมื่อมีคนค้นหาด้วยคำว่า รองเท้าเล่นเทนนิส, ซื้อรองเท้าเทนนิสลดราคา หรือรองเท้าเล่นเทนนิสสีขาว เป็นต้น ซึ่ง Keyword ประเภทนี้ ต้องใส่เครื่องหมาย “” ล้อมรอบคำที่เราต้องการเพื่อใช้งาน
ที่มา: support.google.com/google-ads/answer
ข้อดีของ Phrase Match
- เป็นประเภท Keyword ที่ควบคุมได้ง่ายกว่า Broad match ช่วยให้ตัวโฆษณาปรากฏแก่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาได้ในระดับหนึ่ง เพราะตัว Ads จะแสดงให้ลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ เห็นเป็นส่วนใหญ่
ข้อเสียของ Phrase Match
- แม้ Phrase Match จะควบคุมได้ง่ายกว่า แต่เราก็อาจต้องมาเพิ่ม Negative Keyword ในภายหลัง เพื่อให้ตัวโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.Exact Match
Exact Match คือ Keyword match type ที่มีการจับคู่คำแบบตรงกันทั้งหมด ถือเป็นประเภท Keyword ที่มีการทำงานเฉพาะเจาะจงที่สุด กล่าวคือหากคุณเลือกใช้ Keyword ประเภทนี้ โฆษณาของคุณจะปรากฏให้กับคนที่ใช้คำค้นหาตรงกับคำที่คุณกำหนดไว้ หรือคำที่มีความหมายคล้ายกัน ยกตัวอย่างเช่น หากเราใช้ Keyword ว่า [รองเท้าสำหรับผู้ชาย] ตัวโฆษณาอาจจะปรากฏเมื่อมีคนค้นหาด้วยคำว่า รองเท้าสำหรับผู้ชาย, ผู้ชายรองเท้า, รองเท้าผู้ชาย, รองเท้าบุรุษ หรือรองเท้าสำหรับบุรุษ เป็นต้น โดยสามารถใช้งาน Keyword ประเภทนี้ได้ ด้วยการใส่เครื่องหมาย [] ล้อมหน้าหลังคำที่เราต้องการ
ที่มา: support.google.com/google-ads/answer
ข้อดีของ Exact Match
- การใช้ Exact Match จะช่วยให้โฆษณาของเราไปปรากฏกับกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ได้อย่างชัดเจนที่สุด
- ช่วยประหยัดงบในการโฆษณาได้อย่างมหาศาล เพราะคนที่คลิกเข้ามาคือกลุ่มเป้าหมายของตัวธุรกิจจริง ๆ
- เนื่องจากคนที่ค้นหาและคลิกโฆษณาคือลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ก็ทำให้พวกเขาอยู่ในเว็บไซต์ได้นานขึ้นไม่กดออกทันที ระบบของ Google จะมองว่าโฆษณาของเรามีคุณภาพ ซึ่งส่งผลดีโดยตรงต่อตัวธุรกิจ
ข้อเสียของ Exact Match
- บางครั้งอาจทำให้เข้าถึงลูกค้าได้น้อยเพราะตัว Keyword มีความเจาะจงและแคบมากเกินไป
- ไม่เหมาะกับการทำ Brand Awareness
- เราอาจพลาดหรือมองไม่เห็นคำใหม่ ๆ ที่ลูกค้าใช้ในการค้นหา ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในการทำ Google Ads
- อาจเสียโอกาสในการนำเสนอสินค้าและบริการให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งาน Keyword ผิดหรือไม่ตรงกับคำที่กำหนดไว้
4.Negative Keyword
Negative Keyword เป็นชุด Keyword ที่เรากำหนดไว้เพื่อไม่ให้โฆษณาปรากฏขึ้นมา หากมีคนใช้คำคำนั้นในการค้นหา เป็นอีกหนึ่งวิธีคุณภาพในการช่วยคัดกรองลูกค้าเพื่อไม่ให้โฆษณาปรากฏขึ้น เมื่อมีการค้นหาที่ไม่ตรงตามเป้าหมาย เช่น หากธุรกิจของคุณใช้ Keyword คือ หน้ากากผ้า เราอาจเลือกใช้ Negative Keyword เป็น -The Mask Singer หรือ -หน้ากากทุเรียน เพื่อช่วยกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เป็นต้น โดยเราสามารถใช้งาน Keyword ประเภทนี้ได้ด้วยการใส่เครื่องหมาย – ไว้หน้าคำที่เราต้องการ
ข้อความระวังในการใช้ Negative Keyword
- ควรเลือก Negative Keyword อย่างรอบคอย เพราะหากใช้มากเกินไปตัวโฆษณาอาจเข้าถึงลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายได้น้อยลง
- ตัวโฆษณาอาจจะยังแสดงให้เห็นได้หากผู้ค้นหาใช้คำที่ใกล้เคียงกับ Negative Keyword ที่กำหนดไว้
- ตัวโฆษณาอาจจะยังแสดงให้เห็นหากผู้ค้นหาใช้วลีหรือประโยคขนาดยาวกว่า 16 คำ แล้ว Negative Keyword อยู่หลังคำที่ 16 เป็นต้นไป
ที่มา: support.google.com/google-ads/answer
สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับการทำ Google Ads คือมันไม่มีสูตรเฉพาะหรือสูตรสำเร็จในการเลือกใช้งาน Keyword คุณสามารถเลือกใช้งาน Keyword match type อะไรก็ได้ เลือกใช้คำหรือวลีแบบไหนก็ได้ เพราะแต่ละธุรกิจต่างก็มีปัจจัยมากมายที่ล้วนแล้วแตกต่างกันไป ดังนั้นมันจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายและข้อมูลทั้งหมดที่คุณมี ว่าจะวางกลยุทธ์และเลือกใช้งานคำแบบไหน ด้วยเหตุนี้คุณจึงจำเป็นต้องทำการศึกษาและวิเคราะห์ Keyword ที่จะนำมาใช้อย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ตัวโฆษณาสามารถสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของตัวธุรกิจให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
หากคุณต้องการที่ปรึกษาการรับทำเว็บไซต์ WordPress หรือทีมงานมืออาชีพด้านการทำ Online Marketing มาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานให้ธุรกิจ ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้
โทร.065-095-9544
Inbox: m.me/cotactic
Line: @cotactic
——————————————————————–
ขอบคุณข้อมูลจาก